ตั้งครรภ์แล้วมีเลือดออก ต้องรีบพบแพทย์ เพราะ...

04 Jul 2020

เปิดอ่าน 128392 ครั้ง

#ตั้งครรภ์แล้วมีเลือดออก อาการอันไม่พึงประสงค์ของคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน

#ตั้งครรภ์แล้วมีเลือดออก ต้องรีบมาแพทย์นะคะ เพราะมีความ #เสี่ยงแท้งบุตรได้ หรือเราเรียกว่าภาะวะแท้งคุกคามนั่งเองค่า

หลายคนฟังแล้วตกใจ ช่างคุกคามทั้งร่างกายและจิตใจว่าที่มนุษย์แม่เหลือเกิน

ขึ้นต้นคำว่าแท้งย่อมก่อให้เกิดความกังวล แต่จริงๆแล้วภาวะแท้งคุกคามนั้นสามารถตั้งครรภ์ต่อจนคลอดได้โดยปลอดภัยค่ะ

คำว่า แท้งคุกคาม หมายถึง ภาวะใกล้แท้ง ซึ่งครึ่งหนึ่งหรือ 50 % สามารถตั้งครรภ์ต่อได้จนคลอด แต่อีกครึ่งหนึ่งจะเกิดการแท้งสมบูรณ์ตามมาในที่สุด

อุบัติการณ์การเกิดคือตั้งแต่ 4 สัปดาห์จนถึง 20 สัปดาห์ พบได้ 10-25% ขึ้นกับสาเหตุปัจจัยต่างๆค่ะ

สาเหตุมีหลายปัจจัย อาจพบเพียงข้อเดียว หรือหลายข้อร่วมกัน เช่น

คุณแม่อายุมากกว่า 35 ปี

เคยมีประวัติแท้งมาก่อน

มีอุบัติเหตุขณะตั้งครรภ์

ทารกมีความผิดปกติ อวัยวะอุ้งเชิงกรานมารดาผิดรูป

มีความผิดปกติที่ขัดขวางการตั้งครรภ์เช่นเนื้องอก ติ่งเนื้อ หรือซีสต์รังไข่

มีความผิดปกติของปากมดลูกที่ไม่สามารถรองรับการตั้งครรภ์ได้

มีการติดเชื้อทั้งภายในและภายนอกอุ้งเชิงกราน

คุณแม่ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่

หรือใช้ยาที่มีผลต่อการบีบตัวและฝังตัวของทารก

และสุดท้ายอาจไม่มีสาเหตุใดๆแต่เกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ

อาการที่เกิดขึ้นสำคัญคือมีเลือดออกกะปริดกะปรอย อาจพบร่วมกับอาการปวดหน่วงท้องน้อยเป็นๆหายๆ

ฮือๆๆ... ทำยังไงดีเมื่อมีอาการ

เมื่อคุณแม่มีอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะพบว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดการแท้งสมบูรณ์ หากไม่ได้รับการรักษาและช่วยประคองการฝังตัวของทารกที่ถูกต้อง

#การรักษาภาวะแท้งคุกคาม ได้แก่

1. นอนพักผ่อนให้มาก พักร่างกาย งดกิจกรรมต่างๆ หากลางานพักผ่อนได้ที่บ้านช่วงเลือดออกจะดีที่สุด 24-48 ชม หรือจนกว่าเลือดจะหยุด หากมีการเสียเลือดมาก หรือมดลูกบีบตัวมากอาจต้องนอนพักในโรงพยาบาล

2. ใช้ยากันแท้ง คือฮอร์โมนโปรเจสติน มีทั้งในรูปแบบสอดช่องคลอด รับประทาน หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพก ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ในการประเมินความเหมาะสมของการใช้ยาในแต่ละคน

3. หากพบว่าสาเหตุเกิดจากปากมดลูกหย่อน อ่อนแอ อาจต้องในห่วงประคองในช่องคลอด หรือเย็บผูกปากมดลูกในห้องผ่าตัด

หากรักษาได้ถูกต้อง พักผ่อนเต็มที่ คลายความกังวล เลือดหยุดได้ ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ ภาวะแท้งคุกคามไม่มีผลต่อเนื่องถึงพัฒนาการเจริญเติบโตทางสมองหรือร่างกายของทารกระยะยาว